Monday, December 26, 2016

สรุปบทที่5 ฟังก์ชันการรับและแสดงผลและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์

สรุปบทที่5
ฟังก์ชันการรับและแสดงผลและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์
       
ฟังก์ชัน printf() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับแสดงผลข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ ข้อความ หรือค่าแปร        ฟังก์ชัน scanf() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับรับค่าข้อมูลจากทางแป้นพิมพ์ เพื่อจัดเก็บไว้ในตัวแปรทั้งฟังก์ชัน printf()และscanf() จะต้องกำหนดรหัสรูปแบบข้อมูลให้สัมพันธ์กับชนิดข้อมูลของตัวแปร ซึ่งรายละเอียดดังนี้


       ฟังก์ชัน getchar() เป็นฟังก์ชันที่นำมาสำหรับค่าตัวอักษรหรืออักขระ 1 ตัว โดยค่าที่ป้อนลงไป จะแสดงให้เห็นทางจอภาพ และจะต้องเคาะ Enter เพื่อแสดงถึงการสิ้นสุดการป้อนข้อมูล        ฟังก์ชัน putchar() เป็นฟังก์ชันที่นำมาใช้เพื่อพิมพ์ค่าตัวแปรอักขระ ที่ถูกป้อนด้วยฟังก์ชัน getchar() รวมถึงการสั่งพิมพ์รหัสพิเศษ (Escape Sequence)
ในบางครั้ง รหัส Enter ที่เราได้เคาะเข้าไปเพื่อยืนยันการป้อนข้อมูลจากฟังก์ชัน scanf() ได้ข้ำแรบกวนการทำงานของคำสั่งบางตัว มำให้ข้ามการรับค่าตัวแปรตัดถัดไปซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ด้วยการเคลียร์ บัฟเฟอร์ในหน่วยความจำออกไปเสียก่อนด้วยฟังก์ชัน fflush(stdin)       ฟังก์ชัน getch() ใช้สำหรับรอรับค่าแป้นพิมพ์โดยไม่ต้องยืนยันด้วยการเคาะปุ่ม Enterและอักขระที่ป้อนเข้าไป จะไม่แสดงออกมาให้เห็นทางจอภาพ        ฟังก์ชัน getche() จะคล้ายกับฟังก์ชัน getch() แตกต่างกันเพียงแสดงอักขระที่ป้อนเข้าไปออกมาให้เห็นทางจอภาพ        ฟังก์ชัน clrscr() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับล้างจอภาพ        ฟังก์ชัน gotoxy() เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับกำหนดตำแหน่งเคอร์เซอร์บนจอภาพ บนหน้าจอแบบเท็กซ์โหมด ทั้งฟังก์ชัน printf(), scanf(), getchar() และ putchar() จะถูกประกาศใช้งานอยู่ใน
เฮดเดอร์ไฟล์<stdio.h>
 ทั้งฟังก์ชัน getch(), getche(), clrscr() และ gotoxy() จะถูกประกาศใช้งานอยู่ในเฮดเดอร์ไฟล์<conio.h>
ทั้งฟังก์ชัน pow(), sqrt(), cos(), sine(), tan(), ceil() และ floor() เป็นต้นจะถูกประกาศใช้งานอยู่ในเฮดเดอร์ไฟล์<math.h>คำสั่งในภาษาซี ล้วนอยู่ในรูปแบบของฟังก์ชั่นทั้งสิ้น ซึ่งอาจเป็นฟังก์ชั่นมาตรฐาน ที่ภาษาซีได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว นอกจากนี้ ก็ยังมีฟังก์ชั่น  ที่เราสามารถเขียนขึ้น เพื่อใช้งานเองตัวอย่างฟังก์ชั่นที่ภาษาซี จัดเตรียมมาให้ เช่น ฟังก์ชั่น printf() ที่นำมาใช้เพื่อสั่งพิมพ์ข้อมูลเพื่อ แสดงผ่านทางจอภาพ หรือกรณี ต้องการรับค่าข้อมูลทางแป้นพิมพ์ ก็ต้องใช้ฟังก์ชั่น scant() เป็นต้น ที้งนี้การเรียกใช้ฟังก์ชั่นดังกล่าว จำเป็นต้องรู้ถึงรูปแบบการเขียน (Syntax) รวมถึงต้องรู้ด้วยว่าฟังก์ชั่นที่ใช้งาน เหล่านี้ ประกาศใช้อยู่ในเฮดเดอร์ไฟล์ใด นอกจากฟังก์ชั่นทั้งสองแล้ว ภาษาซีก็ยังมีฟังก์ชันอื่นๆ ที่สามารถรำมาใช้เพื่อการแสดงผลข้อมูลและการรับผลข้อมูล

ฟังก์ชั่นการรับและแสดงผลข้อมูล
   ในภาษาซี ได้เตรียมฟังก์ชั่นเพื่อการรับและแสดงผลข้อมูลอยู่ หลายคำสั่งด้วยกัน ซึ่งสามารถนำมาเรียกใช้งานตามความเหมาะสม   1. ฟังก์ชั่น printf     เป็นฟั่งชั่นที่ใช้สำหรับแสดงผล   ข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ ข้อความ หรือค่าตัวแปร โดยที่ formatControlString  คือรูปแบบที่ นำมาใช้สำหรับควบคุมการพิมพ์ รวมถึงข้อความที่ต้องการสั่งพิมพ์ ซึ่งจะต้องอยู่ภายในเครื่องหมาย " "   Printf  คือตัวแปรที่นำมาพิมพ์ ซึ่งจะจับคู่กับ formatControlString ที่สัมพันธ์กันอย่างถูกต้องใส่รูป   นอกจากนี้แล้ว ยังสามารถผนวกรหัสควบคุม (Escape Sequence) เข้าไปใน FormatControlString ได้อีก ซึ่งรหัสควบคุมเหล่านี้ จะเขียนด้วยเครื่องหมาย และตามด้วยรหัสควบคุม ทั้งนี้ต้องระมัดระวังในเรื่องของการจับคู่ระหว่างรหัสรูปแบบขัอมูล ที่ต้องตรงกับชนิดตัวแปรสั่งพิมพ์

2. ฟังก์ชั่น Scanf()
    เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้สำหรับรับค่าข้อมูลจากทางแป้นพิมพ์ เพื่อจัดเก็บไว้ในตัวแปร   นอกจากนี้ ในการรับข้อมูลทางแป้นพิมพ์ด้วยฟังก์ชั่น scanf() จะต้องพิจารณาสิ่งต่อไปนี้   1. ถ้าข้อมูลที่รับ เป็นชนิดตัวเลข ซึ่งนำไปใช้ในการคำนวณได้ จะต้องใส่เครื่องหมาย นำหน้าตัวแปรเสมอ   2. ถ้าข้อมูลที่รับ เป็นข้อความ อาจไม่ต้องใส่เครื่องหมาย นำหน้าตัวแปรก็ได้
3. ฟังก์ชั่น getchar()   เป็นฟังก์ชั่นที่นำมาสำหรับรับค่าตัวอักษรหรืออักขระ 1 ตัว โดยค่าที่ป้อนลงไปจะแสดงให้เห็นทางจอภาพ และจะต้องเคาะ Enter เพื่อแสดงถึงการสิ้นสุดการป้อน
   ข้อมูลด้วย กรณีที่มีการกรอกตัวอักษรมากกว่า 1 ตัว จะมีเพียงอักษรตัวแรกเท่านั้น ที่จะถูกจัดเก็บไว้ในตัวแปร    4. ฟังก์ชั่น putchar()    เป็นฟังก์ชั่นที่ถูกนำมาใช้เพื่อสั่งพิมพ์ค่าตัวแปรอักขระที่ถูกป้อนด้วย getchar() หรือนำมาพิมพ์หัสพิเศษได้



สรุปบทที่4 เรื่อง นิพจน์และตัวดำเนินการ

สรุปบทที่4

เรื่อง นิพจน์และตัวดำเนินการ



นิพจน์ (Expression)

   นิพจน์ในที่นี้หมายถึง นิพจน์์ทาง  คณิตศาสตร์ ซึ่งสามารถพบเห็นได้จากสูตรการคำนวณตัวเลขต่างๆ ดังนั้น นิพจน์
    จึงประกอบด้วย ตัวแปร ค่าคงที่ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์มาประกอบรวมกัน
    จากนิพจน์คณิตศาสตร์ข้างต้น พบว่า ทั้ง and, score และ income จะเป็นตัวแปรที่ใช้เก็บผลลัพธ์จากก คำนวณ ส่วนนิพจน์ด้านขวาก็จะเป็นนิพจน์
   แบบหลายตัวแปร ซึ่งสามารถมีได้ทั้งตัวแปรและค่าคงที่ รวมถึงตัวดำเนินการคณิตศาสตร์  เช่น + - * / เป็นต้น ในการสร้างสูตรคำนวณค่าตัวเลข โดยเฉพาะสูตรคำนวณที่มีความซับซ้อน ต้องระมัดระวังในการจัด
   ลำดับนิพจน์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์
   ประมวลผลอย่างถูกต้อง ทั้งนี้
   ตัวดำเนินการต่างๆ ที่นำมาใช้เพื่อการคำนวณนั้น แต่ละตัวจะมีลำดับความสำคัญที่แตกต่างกัน
ตัวดำเนินการ (Operators)
     ในภาษาซี มีตัวดำเนินการหลากหลายชนิด แต่ในที่นี้กล่าวถึงตัวดำเนินการพื้น
    ฐานที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

   1. ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์

   2. ตัวดำเนินการยูนารี

   3. ตัวดำเนินการเปรียบเทียบ

   4. ตัวดำเนินการตรรกะ

   5. ตัวดำเนินการกำหนดค่า
    แบบผสม


   6. ตัวดำเนินการเงื่อนไข




1. ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์

    จัดเป็นตัวดำเนินการพื้นฐาน ที่นำมาใช้เพื่อการคำนวณ เช่น บวก ลบ คูณ หาญ และ โมดูลัส (หาญเพื่อเอาเศษ)


2. ตัวดำเนินการยูนารี


          ตัวดำเนินการยูนารี ตัวแรกที่กล่าวถึง คือ เครื่องหมายลบ ที่นำมาใช้นำหน้าค่าตัวเลข หรือนำหน้า ค่าตัวแปร ซึ่งจะส่งผลให้ค่าถูกเปลี่ยนเป็นค่าติดลบโดยทันที


3. ตัวดำเนินการเปรียบเทียบ


     ในภาษาซีจะมีตัวกำเนินการที่นำมาใช้เพื่อการเปรียบเทียบค่า

4. ตัวดำเนินตรรกะ
   นอกจากตัวดำเนินการเปรียบเทียบแล้ว เรายังสามารถนำตัวดำเนินการตรรกะมาใช้ร่วมกันได้

5. ตัวดำเนินการกำหนดค่า

      แบบผสมจากความรู้ที่ผ่านมาได้เรียนรู้ถึงการกำหนดค่าให้กับตัวแปรมาบ้างแล้ว แต่ในภาษาซียังมีตัวดำเนินการกำหนดค่าแบบผสม (Compound Assignment Operators)

6. ตัวดำเนินการเงื่อนไข

    ตัวดำเนินการเงื่อนไข จะนำมาทดสอบค่านิพจน์ทางตรรกะ ว่าจริงหรือเท็จ

>>ตัวดำเนินการกับลำดับความสำคัญ<<

   ตัวดำเนินการแต่ละตัวจะมีลำดับความสำคัญก่อนหลังที่แตกต่างกัน โดยการประมวลผลกระทำจากตัวดำเนินการที่มีลำดับความสำคัญสูงก่อน แต่ถ้ากรณีที่มีลำดับความสำคัญเท่ากัน ตามปกติจะกระทำกับตัวดำเนินการจากซ้ายไปขวา กล่าวคือ จะกระทำกับตัวดำเนินการ ที่พบก่อน

>>การเปลี่ยนชนิดข้อมูล<<
ในภาษา ยังมีตัวดำเนินการที่ เรียกว่า การแคสต์ (Casting) เพื่อแปลงชนิดข้อมูลจากชนิดหนึ่ง มาเป็นอีกชนิดหนึ่งได้ วิธีทำคือ ให้ระบุชนิดข้อมูลที่ต้องการภายใน   เครื่องหมายวงเล็บ หน้านิพจน์ที่ ต้องการ
















สรุปบทที่ 3 เรื่อง องค์ประกอบของภาษาซี ตัวแปรและชนิดข้อมูล

สรุปบทที่ 3
เรื่อง  องค์ประกอบของภาษาซี ตัวแปรและชนิดข้อมูล
         ภาษาชีถูกพัฒนาขึ้นโดย เดนนิส ริตชี ที่ห้องปฏิบัติการเบลล์ ซึ่งมีต้นแบบมาจากภาษาบีที่อยู่บนรากฐานของภาษาบีซีพีแอล
    ทางสถาบัน ANSI ได้รับรองมาตรฐานภาษาซีขึ้นมา ภายใต้ชื่อ ANSI-C
 ปัจจุบันได้มีการพัฒนาภาษาซีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นเวอร์ชั่นต่างๆมากมายด้วยการนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นC++หรือC#โดยได้เพิ่มชุดคำสั่งที่สนับสนุนการโปรแกรมเชิงวัตถุและยังคงรองรับชุดคำสั่งมาตรฐานของภาษาซีดั้งเดิมอยู่ด้วย
ภาษาซีมีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าภาษาระดับสูงทั่วไปในหลายๆ ด้านด้วยกัน  คือ
1. เป็นภาษาที่ไม่ขึ้นกับฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการ
2. เป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก
3. มีประสิทธิภาพสูง
4. ความสามารถในด้านการโปรแกรมแบบโมดูล
5. มีตัวแปรชนิดพอยน์เตอร์
6.ภาษาซีมองตัวอักษรตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่แตกต่างกัน (Case Sensitive)
 โครงสร้างโปรแกรมในภาษาซี แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้
1. ตัวประมวลผลก่อน (Preprocessor Directive)
2. ฟังก์ชันหลัก
3. ชุดคำสั่ง
4. คำอธิบายโปรแกรม


กฎเกณฑ์ที่ต้องรู้ในการเริ่มต้นฝึกหัดเขียนโปรแกรมภาษาซี คือ
1. ที่ส่วนหัวโปรแกรม จะต้องกำหนดตัวประมวลผลก่อนเสมอ
2. ชุดคำสั่งในภาษาซี จะใช้อักษรตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด
3. ตัวแปรที่ใช้งาน ต้องถูกประกาศชนิดข้อมูลไว้เสมอ
4. ภายในโปรแกรม จะต้องมีอย่างน้อย ฟังก์ชันเสมอ ซึ่งก็คือฟังก์ชัน main()นั่นเอง
5. สามารถใช้เครื่องหมายปีกกา{ เพื่อบอกจุดเริ่มต้นของชุดคำสั่ง และเครื่องหมายปีกกาปิด}
6. เมื่อเขียนชุดคำสั่งเสร็จแล้ว ต้องจบด้วยเครื่องหมาย ;
7. สามารถอธิบายโปรแกรมตามความจำเป็นด้วยการใช้เครื่องหมาย/*…..*/ หรือ //….
ตัวแปร คือ ชื่อที่ตั้งขึ้นตามกฎการตั้งชื่อตัวแปร เพื่อนำมาใช้จัดเก็บข้อมูล และอ้างอิงใช้งานภายในโปรแกรม
กฎเกณฑ์การตั้งตัวแปรในภาษาซี ประกอบด้วย
1. สามรถใช้ตัวอักษร A ถึง หรือ ถึง รวมทั้งตัวเลข ถึง และเครื่องหมาย _(Underscore) มาใช้เพื่อการตั้งชื่อตัวแปรได้ แต่มีเงื่อนไขว่า ห้ามใช้ตัวเลขนำหน้าชื่อตัวแปร ตัวอย่างเช่น 1 digit ถือว่าผิด แต่ถ้าตั้งชื่อใหม่เป็น digit1 หรือ digit1 ถือว่าถูกต้อง
2. ชื่อตัวแปรสามารถมีความยาวได้ถึง 31 ตัวอักษร ( กรณีเป็น ANSI-C )
3. ชื่อตัวแปร จะต้องไม่ตรงกับคำสงวน ( Reserved Words )






ชนิดข้อมูลตัวอักษร เป็นชนิดข้อมูลที่จัดเก็บตัวอักษรหรือตัวอักษรขระเพียง ตัวเท่านั้นกรณีที่ต้องการจัดเก็บตัวอักขระหลายๆ ตัว เราจะเรียกกลุ่มข้อความนี้ว่า สตริง(String 1)
ชนิดข้อมูลแบบเลขจำนวนเต็ม หมายถึงค่าตัวเลขจำนวนเต็ม ไม่มีทศนิยม ซึ่งประกอบด้วย int และ long int แบบไม่มีทศนิยม นอกจากนี้ยังสามารถใช้คำเพิ่มเติมนำหน้าชนิดข้อมูลอย่าง short หรือ long ก็ได้
ชนิดข้อมูลแบบทศนิยม หรือเลขจำนวนจริง คือ ค่าตัวเลขที่สามารถมีจุดทศนิยม โดยชนิดข้อมูลนี้สามารถกำหนดขนาดความกว้างตามความต้องการ เช่น floatdouble หรือ long double
   ตัวแปรแบบภายใน  จะถูกประกาศใช้งานเฉพาะฟังก์ชันนั้นๆ ดังนั้น หากตัวแปรแบบภายในของและฟังก์ชัน มีการกำหนดชื่อตัวแปรเหมือนกัน จะถือว่าเป็นตัวแปรคนละตัว

   ตัวแปรแบบภายนอก  ถือเป็นตัวแปรสาธารณะที่ทุกๆ โปรแกรมย่อยหรือทุกๆ ฟังก์ชันสามารถใช้งานได้ โดยจะถูกประกาศไว้ภายนอกฟังก์ชัน

สรุปบทที่ 2 เรื่อง หลักการเขียนโปรแกรมภาษา C และการติดตั้งโปรแกรม turbo C++


สรุปบทที่ 2

เรื่อง หลักการเขียนโปรแกรมภาษา C และการติดตั้งโปรแกรม turbo C++
หลักการเขียนโปรแกรมภาษา C ประกอบด้วย
1.สร้างโปรแกรม
2.คอมไพล์โปรแกรม
3.เชื่อมโยงโปรแกรม
4.รันโปรแกรม

อินเตอร์พรีเตอร์ เป็นตัวแปลภาษาที่จะแปลโปรแกรมแบบทีละคำสั่งพร้อมกับรันโปรแกรมในขณะเดียวกัน หากไม่พบข้อผิดพลาดใดๆ ก็จะนำคำสั่งถัดไปมาแปลและรันต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบโปรแกรม หรือหากพบข้อผิดพลาดขึ้น โปรแกรมก็จะหยุดทำงานทันที และจะแจ้งข่าวสารข้อผิดพลาดให้รับทราบทางจอภาพ








คอมไพเลอร์ เป็นตัวแปลภาษาที่จะแปลแบบทั้งโปรแกรม หากแปลแล้วพบข้อผิดพลาด โปรแกรมจะไม่สามารถรันได้ ต้องกลับไปแก้ไขโปรแกรมให้ถูกต้อง แล้วคอมไพล์ใหม่จนกระทั่งไม่พบข้อผิดพลาดใดๆ









Turbo C++ เวอร์ชั่น 4.5 เป็นโปรแกรมที่รวมเอดิเตอร์และคอมไพล์เลอร์ไว้ในตัวเดียวกัน สามารถติดตั้งเพื่อใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows ได้ นอกจากนี้ตัวโปรแกรมยังมีขนาดเล็ก ทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เหมาะกับการนำมาใช้งานเพื่อฝึกหัดเขียนโปรแกรมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากติดตั้งง่ายใช้งานสะดวก สามารถหาดาวน์โหลดมาใช้งานได้จากอินเทอร์เน็ต





ชนิดของข้อผิดพลาด ที่เกี่ยวกับงานเขียนโปรแกรม ประกอบด้วย
1.ข้อผิดพลาดที่เกิดจากไวยากรณ์
2.ข้อผิดพลาดที่เกิดจากตรรกะโปรแกรม
3.ข้อผิดพลาดขณะรันโปรแกรม

บทที่ 1 หลักการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น

บทที่ 1 หลักการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น

ขั้นตอนการเขียนโปรมแกรม สามารถแบ่งออกเป็น5ขั้นตอนด้วยกัน คือ
1. การวิเคราะห์ปัญหา
2. การออกแบบโปรแกรม
3. การเขียนโปรแกรม
4. การทดสอบโปรแกรม
5.การจัดทำเอกสารประกอบ โปรแกรม
                   
:รูปแบบการเขียนโปรแกรม: สามารถแบ่งออกเป็น2รูปแบบด้วยกันคือ
1. การเขียนโปรแกรมเชิงโครสร้าง
2.  การเขียนโปรมแกรมเชิงวัตถุ
                   
:การเขียนโปรแกรมเชิงโครสร้าง: ประกอบด้วย
:ชุดคำสั่งภายในโปรแกรม จะเป็นลำดับขั้นตอน
:มีทางเลือกในการตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง
:มีชุดคำสั่งเพื่อการทำซ้ำ
จุดประสงค์ของเทคนิคการออก
แบบโปรแกรมเชิงโครงสร้าง ประกอบด้วย
1.เพื่อสร้างโปรมแกรมให้มีคุณภาพ และทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโปรแกรม
2.เพื่อสร้างโปรแกรมที่ง่ายต่อการปรับปรุงและแก้ไข
3.เพื่อให้ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมมีระบบระเบียบยิ่งขึ้น
4.เพื่อให้การพัฒนาระบบมีความรวดเร็ว และประหยัดต้นทุน
                
อัลกอริทึมหรือขั้นตอนวิธี คือกระบวนการทำงานที่เป็นลำดับขั้นตอน ชัดเจน และมีการรับประกันว่าเมื่อได้ปฏิบัติถูกต้องตามขั้นตอนจนครบแล้ว จะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องตามความต้องการ

:อัลกอริทึม:  ที่นำมาใช้เพื่อการ
แก้ปัญหาหนึ่งๆอาจมีความแตกต่างกันได้ แต่ก็จะได้ผลเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและเป็นแนวทางที่คิดว่าดีที่สุด
คุณสมบัติของอัลกอริทึม ประกอบด้วย
1.เป็นกระบวนการที่สร้างขึ้นจากกฎเกณฑ์
2.กฎเกณฑ์ที่สร้างอัลกอริทึมต้องไม่คลุมเครือ
3.การประมวลผลต้องเป็นลำดับขั้นตอน
4.กระบวนการต้องให้ผลลัพธ์ตามที่กำหนดในปัญหา
5.อัลกอริทึมต้องมีจุดสิ้นสุด

ประสิทธิภาพของอัลกอริทึม จะพิจารณาถึงเกณฑ์พื้นฐานต่อไปนี้
1.อัลกอริทึมที่ดีต้องใช้เวลาในการดำเนินการน้อยที่สุด
2.อัลกอริทึมที่ดีต้องใช้หน่วยความจำน้อยที่สุด
3.อัลกอริทึมที่ดีต้องมีความยืดหยุ่น
4.อัลกอริทึมที่ดีต้องใช้เวลาในการพัฒนาน้อยที่สุด
5.อัลกอริทึมที่ดีต้องง่ายต่อความเข้าใจ
ซูโดโค้ดและผังงาน
ต่างก็สามารถนำมาใช้เป็นตัวแทนของอัลกอริทึมได้
ลำดับขั้นตอนใดบ้าง แต่ผังงานมีข้อจำกัดในเรื่องของการขาดรายระเอียด ดังนั้น ในการทำงานจริงๆแล้วซูโดโค้ดจึงมักถูกนำไปเป็นตัวแทนของอีลกอริทึมมากกว่า
ซูโดโค้ด มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง
ภาษาอังกฤษที่มีความคล้ายคลึงกับภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงแต่อย่างไรก็ตาม การเขียนซูโดโค้ดไม่มี
มาตรฐานการเขียนที่ชัดเจนอย่าง
ภาษาระดับสูง ดังนั้น
จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ถึงหลักการ เพื่อสามารถเขียนซูโดโค้ดให้สามารถสื่อสารกับโปรแกรมเมอร์ได้อย่างเข้าใจ
หลักการเขียนซูโดโค้ด
1.ถ้อยคำหรือประโยคคำสั่งให้เขียนอยู่ในรูปแบบของภาษาอังกฤษ
อย่างง่าย
2.ในหนึ่งบรรทัด ให้เขียนประโยคคำสั่งเพียงคำสั่งเดียว
3.ควรใช้ย่อหน้าให้เป็นประโยชน์เพื่อแยกคำเฉพาะรวมถึงจัดโครงสร้างการควยคุมให้เป็นสัดส่วนซึ่งการ
กระทำดังกล่าวจะทำให้อ่านง่าย
4.แต่ละประโยคคำสั่งให้เขียนลำดับจากบนลงล่างโดยมีทางเดียวและมีทางออกทางเดียวเท่านั้น
5.กลุ่มของประโยคคำสั่งต่างๆอาจจัดรวมกลุ่มเข้าด้วยกันในรูปแบบของโมดูลแต่ต้องกำหนดชื่อโมดูลเหล่านั้นด้วย เพื่อให้สามารถเรียกใช้โมดูลนั้น
เครื่องหมาย = จะนำมาใช้เพื่อ
การกำหนดค่าและการคำนวณเช่น x = 0 ,sum = x +y
การอ่านหรือรับข้อมูล
สามารถใช้คำสั่งREND,INPUT  และ GET แต่ RENDมักถูกนำมาใช้สำหรับอ่านค่าที่มีอยู่แล้วมาเก็บไว้ในตัวแปรเช่นการอ่านข้อมูลจากไฟล์ในขณะที่ INPUT และGETจะนำไปใช้สำหรับ
การรับค่าข้อมูลผ่านแป้นคีย์บอร์ด
การแสดงผลข้อมูล สามารถใช้
คำสั่ง PRINT,PROMPT และ WRITE แต่ PRINT และ PROMPTมักถูกนำไปใช้สำหรับการพิมพ์ค่าข้อมูลหรือข้อความใน
ขณะที่ WRITE จะนำไปใช้สำหรับ
การบันทึกข้อมูลลงในแฟ้มข้อมูล
การกำหนดเงื่อนไข จะใช้ประโยค IF….THEN….ELSE โดยหากเงื่อนไขที่ตรวจสอบเป็นจริง ก็จะทำกิจกรรมหลัง THEN แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จก็จะทำ
กิจกรรมหลัง ELSE กรณีที่การตรวจสอบเงื่อนไข IF ซ้อนกันหลายๆ ชั้น อาจทำให้แลดูยุ่งเหยิงและตรวจ
สอบยาก ดังนั้น
จึงสามารถใช้คำสั่งCASE…ENDCASE แทนได้
คำสั่งที่ใช้ทำงานเป็นรอบหรือลูป มีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน คือ
ลูปWHILE…ENDWHILE
เป็นลูปที่มีการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน ดังนั้น หากเงื่อนไขเป็นจริง  ก็จะทำกิจกรรมภายในลูปซ้ำไปเรื่อยๆจนกระทั่ง เมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จก็จะหลุดออกจากลูปแต่อย่างไรก็ตาม หากเงื่อนไขที่ตรวจสอบครั้งแรกเป็นเท็จก็จะไม่มีการดำเนินกิจกรรมภายในลูปเลย
ลูป DO…UNTIL
เป็นลูปที่อย่างน้อยต้องดำเนินการภายในลูปรอบหนึ่งเสมอ จากนั้นจึงทำการตรวจสอบเงื่อนไข โดยจะวนซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าเงื่อนไขจะเป็นเท็จ จึงหลุดออกจากลูป
ลูป FOR…NEXT เป็นลูปที่มีการกำหนดรอบการวนซ้ำที่มีจำนวนรอบที่แน่นอน กรณีที่โปรแกรมมีขนาดใหญ่อาจเขียนซูโดโค้ดด้วยการแบ่งออกเป็นโพรซีเยอร์ได้โดยแต่ละโพรซีเยอร์
ต่างก็มีหน้าทีของตนโดยเฉพาะและสามารถเรียกใช้งานได้บ่อยตามที่ต้องการสำหรับการเรียกใช้งานก็จะใช้คำสั่งชุด CALL แล้วตามด้วยชื่อโพรซีเยอร์ และเมื่อทำงานจนสิ้นสุดโพรซีเยอร์นั้นๆแล้วก็จะกลับมายังตัวโปรแกรมหลังเพื่อทำงานชุดคำสั่งในลำดับ
ถัดไป.